วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วัดป่าอัมพวัน ชลบุรี

       ถานที่สัปปายะ.. แวดล้อมด้วยหุบเขาเงาป่า และสายน้ำ ให้ความรู้สึกสงบ ร่มเย็นทุกครั้งที่มาเยือน "วัดป่าอัมพวัน" นับเป็นอีกที่หนึ่งของผู้แสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรม  ทั้งเพื่อหวังขัดเกลากิเลสตัณหาในใจมุ่งสู่ทางหลุดพ้น หรือเพียงเพื่อมาสงบจิตใจในยามที่มรสุมแห่งความทุกข์พัดผ่านเข้ามาในชีวิต..
      วัดป่าอัมพวัน ซึ่งเป็นวัดสาขาวัดหนองป่าพงที่ 42ตั้งอยู่ในเขต ต.หนองรี อ.เมือง จ.ชลบุรี ทางที่จะไปบ้านบึง (ดูแผนที่ข้างล่าง) เป็นวัดป่ากรรมฐานในสายพระโพธญาณเถร (หลวงพ่อชาสุภัทโท)

                                          ป้ายบอกทางไปวัดป่าอัมพวัน
       จากปากทางถนนสายชลบุรี-บ้านบึง เข้ามาประมาณ 3-4 ก.ม. จะเห็นป้ายบอกทางเป็นระยะ นำทางมุ่งสู่เชิงเขาที่ติดกับอ่างเก็บน้ำช่องมะเฟือง อันเป็นที่ตั้งของ วัดป่าอัมพวัน  
 
     
        ผ่านประตูวัดเข้าไปจะเห็นกวางสองตัวนี้นอนเฝ้าธรรมจักรกับอยู่ด้านขวามือติดกับริมรั้ว


       "ตราบใดที่คนเรายังคงมุ่งแสวงหาความสุขจากภายนอก ความสุขแบบโลกๆที่ต้องพึ่งพาอาศัยบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ จากคนอื่น ..ตราบนั้น เราก็ยังต้องวนเวียนอยู่ในกองทุกข์เรื่อยไปอย่างไม่มีวันสิ้นสด.."


           หากจะมาทำบุญในตอนเช้าที่ วัดป่าอัมพวัน แห่งนี้ ขอแนะนำให้มาถึงวัดก่อนเวลา9.00น.
หรือถ้าจะให้ดีควรมาถึงวัดช่วง 7.00-8.30 เพื่อจะได้มีเวลาจัดสำรับอาหารและหาที่นั่งบนศาลาเพื่อฟังธรรมและรับศีลรับพรจากหลวงพ่อ.. 


      "คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงวัดเมื่อในยามที่ชีวิตประสบความทุกข์ จะหันหน้าหาธรรมก็ต่อเมื่อความทุกข์นั้นเข้ากัดกินจิตใจจนยากเยียวยา ไม่อาจหายาขนานใดมาสมานแผลนั้นได้ จึงได้เดินเข้าสู่วัดเพื่อหวังใช้ธรรมบรรเทาและเยียวยาหัวใจ"   



 
          เนื่องจากที่นี่เป็นวัดป่าสายวิปัสนา พระท่านจะฉันเพียงมื้อเดียว เวลาลงฉันก็ประมาณ 9.30 น. หากมาหลังเวลานี้ก็อาจไม่ทันถวายภัตตราหาร..


  
        "คนบางคนเข้าวัดเพียงเพื่อมุ่งหวังโชคลาภ ดูดวง หรือแสวงหาวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง อันเป็นแค่เปลือกนอกของพุธศาสนา หาใช่แก่นแท้ตามที่องค์พระศาสดามุ่งหวังไม่.."

       

         นี่เป็นศาลาอเนกประสงค์ที่พระท่านใช้เป็นโรงฉันและให้ญาติโยมนั่งฟังธรรม ตลอดจนรับศีลรับพร รวมถึงใช้รับรองญาติโยมในงานต่างๆ  เช่น งานทอดกระฐินประจำปี  ทอดผ้าป่า และกิจกรรมอื่นๆ


        "หลายคน..ทุ่มเทเรี่ยวแรง และช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตไปให้กับคนอื่น ใช้เวลาหมดไปกับการทำงาน หาเลี้ยงดูครอบครัว  รอว่า..เมื่อแก่ตัวค่อยหันหน้าเข้าวัดก็ยังทัน  แต่พอถึงเวลานั้นจริงๆ กลับไม่มีเรียวแรงที่จะภาวนา  แม้แต่จะเดินก็ยังลำบาก เพราะสังขารในวัยชราไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติธรรมเสียแล้ว.. "  


        บรรยากาศภายในศาลา หลังคาสูงทรงไทย ด้านข้างเปิดโล่งให้ลมพัดผ่านได้ ไม่ต้องอาศัยพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศให้สิ้นเปลืองพลังงาน             




        " เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่า ชีวิตที่ดำเนินอยู่นี้ จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ฉะนั้นจงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ถนุถนอม และตั้งอยู่ในความไม่ประมาท "
 


         หลังจากหลวงพ่อแสดงธรรมเทศนา และให้ศีลให้พรแก่ญาติโยมเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาฉันจังหัน ซึ่งกว่าจะได้ฉันก็ปาเข้าไปเกือบ 10 โมงเช้า..



        " หลายคนลืมว่า.. สักวันหนึ่ง เมื่อการเดินทางของชีวิตในโลกนี้สิ้นสุดลง เราทั้งหลายต่างต้องออกเดินทางไกลต่อไป จงหันมองและสำรวจตัวเองว่า..เราได้เตรียมอะไรให้กับชีวิตใว้บ้าง..  เสบียงที่ต้องใช้สำหรับการเดินทางที่แสนยาวไกล...  ท่านเตรียมอะไรใว้แล้วหรือยัง? "


       พระอุโบสถส์.. สถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตา ผสมผสานระหว่างไม้และปูน มีห้องด้านล่างเป็นที่พักสำหรับอุบาสกที่มาปฏิบัติธรรมที่วัด..
      ส่วนห้องข้างบน เป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติศาสนกิจ ลงอุโบสถส์ ทำวัตรเช้า -เย็น และเป็นที่ปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา สำหรับพระภิกษุ อุบาสก อุบาสิกาผู้ใคร่ธรรม..

       
        ด้านหน้าและรอบๆอุโบสถส์ ประดับด้วยสวนหย่อม และไม้ดอกหลายชนิด เพิ่มความร่มรื่นสวยงามให้กับสถานที่..


        ถัดจากพระอุโบสถส์มาไม่ไกล จะพบศาลาทรงไทย สถาปัตยกรรมที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์อันสวยงามแบบไทยๆ มาทุกยุคทุกสมัย ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ธรรมชาติที่ร่มรื่น  ที่นี่..เป็นเรือนใช้สำหรับรับรองพระอาคันตุกะผู้ใหญ่ และเป็นที่ลงรับรับแขกของหลวงพ่อเจ้าอาวาส(พระอาจารย์จันดี กนตฺสาโร )


         แม้แต่ห้องน้ำและทางเดินก็ได้รับการออกแบบ และดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งจะไม่มีขยะและใบไม้ตามพื้นทางเดินให้เห็นเลย..
 


        ตามถนนทางเดินและทางเชื่อมภายในวัด ..สองข้างทางปกคลุมด้วยมวลแมกไม้หลายชนิด ให้ความร่มรื่นและร่มเงาตลอดเส้นทางเดิน

          ด้านตรงข้ามศาลาโรงฉัน จะเป็นส่วนที่พักของคุณยาย(ผู้ดูแลวัด) และอุบาสิกา ผู้มาถือศีลปฏิบัติธรรม ซึ่งแยกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจนกับฝั่งของอุบาสก(ผู้ชาย)  หากใครจะมาขอพักที่วัดเพื่อถือศีลปฏิบัติธรรมจะต้องมาขออนุญาติบอกกล่าวกับคุณยายทีนี่...



         รอบๆบริเวณวัดด้านโรงทาน(โรงอาหาร) จะมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เป็นแหล่งอาศัยของฝูงปลานานาชนิด ทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติ และมีผู้ใจบุญเอามาปล่อย เหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจยิ่งนัก

        ทั้งยังมีแพกลางน้ำที่ต่อยื่นออกไป สำหรับให้อาหารปลาและนั่งพักผ่อนชมธรรมชาติรอบๆบริเวณวัดได้อีกด้วย   (ร้านค้าก่อนถึงทางเข้าวัดจะมีขนมปัง และอาหารปลาขายด้วย..)


       เนื่องจากอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างช่องเขาพอดี จึงทำให้มีลมพัดผ่านตลอดทั้งปี และเป็นสายลมที่ค่อนข้างแรง ซึ่งทางวัดป่าอัมพวัน ได้ติดตั้งกังหันลมขนาดใหญ่ เพื่อนำพลังลมไปผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ภายในวัดได้อีกด้วย..


       ส่วนเส้นทางที่จะมา วัดป่าอัมพวัน  สำหรับผู้ที่มาครั้งแรกอาจจะหายากสักหน่อย เพราะอยู่ลึกจากถนนใหญ่เข้ามาไกลพอสมควร และเส้นทางบางช่วงวกวน
      ถ้าท่านมาทางสายมอเตอร์เวย์จากกรุงเทพ เมื่อพบป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไป อ.บ้านบึงให้ท่านเลี้ยวซ้ายตามป้ายบอกทาง ถึงถนนใหญ่สายบ้านบึง ขับมาประมาณ 500เมตร จะเห็นสะพานลอยคนข้าม ให้เตรียมชิดขวา แล้วกลับรถมาประมาณ 50 เมตร จะพบป้าย วัดหนองรี และ วัดป่าอัมพวัน  ขับตรงไปประมาณ 3 ก.ม. มีป้ายบอกทางชี้ไปทางซ้าย  ตรงไปอีกประมาณ 2-3 ก.ม. มีป้ายบอก วัดป่าอัมพวัน อ่างเก็บน้ำช่องมะเฟือง ให้เลี้ยวขวาไปตามทางจนสุดสาย ประมาณ 2 ก.ม. ท่านก็จะพบประตูทางเข้าวัด..







       

        สำหรับญาติธรรมผู้สนใจทำบุญ หรืออยากแวะมาเยี่ยมชม นมัสการหลวงพ่อ สามารถดูรายระเอียดได้ที่เว็ปไซด์ของทางวัดที่..http://watpahampawan.com/default.aspx  


      +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


  ศาลาอนุสรสถานหลวงปู่ชา อยู่ระหว่างการก่อสร้าง  นำภาพล่าสุดมาฝากครับ..



   




วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำบุญ ณ วัดทุ่งเหียง พนัสนิคมฯ



    "น้องแก้มนะคะ..หนูอยากเห็นสังคมนี้เป็นสังคมแห่งการแบ่งปันและรอยยิ่มค่ะ.."    

     หากพ่อแม่ทุกคน รู้จักปลูกฝังให้เด็กๆรู้จักคิด รู้จักให้และรู้จักเสียสละตั้งแต่วัยเยาว์ เชื่อว่า อีกหลายสิบปีข้างหน้า สังคมไทยเราคงเป็นสังคมที่น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ..(ไม่วุ่นวายอย่างเช่นทุกวนนี้)


     วันนี้..เป็นอีกหนึ่งวัน ที่เราและกัลยาณมิตรอีกหลายคน ได้ร่วมกันทำสิ่งดีๆให้กับสังคม ด้วยการสละปัจจัยเงินทองสิ่งของคนละนิดคนละน้อยตามกำลังศรัทธา  เพื่อนำเงินไปซื้อข้าวสารอาหารแห้ง มอบถวายให้กับวัดทุ่งเหียง อ.พนัสนิคม  ชลบุรีนี่ีเอง..

   



 

 
      หลังจากสายข่าวทางธรรมของเรา(พี่ทูน)สืบทราบมาว่า วัดทุ่งเหียง แห่งนี้ หลวงปู่บุญ โสภโณ (พระครูโสภณพัฒนาภิรม) ได้รับอุปการะเด็กชาวเขาใว้เป็นจำนวนมาก กว่า500ชีวิต ทั้งยังส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือ และเลี้ยงดูให้ที่พักพิงภายในวัดแห่งนี้  

     ซึ่งในการเลี้ยงดูคนขนาดนี้ ท่านต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวมมาก ทั้งค่าข้าวปลา อาหาร หยูกยา และเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้านักเรียน ตลอดจนค่าสมุดปากกาดินสอ อุปกรณ์การเรียนอีกสารพัด ..

     แต่ถึงกระนั้น ท่านก็มิได้ย่อท้อแต่อย่างไร  ยังคงเดินหน้าทำโครงการ "สร้่างทรัพยากรมนุษย์ผู้ด้อยค่า " ด้วยจิตที่เปี่ยมด้วยพลังเมตตต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ัด้อยโอกาศทางสังคม




    
     วันนี้่หลวงปู่ท่านไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก แต่ท่านก็ยังมีเมตตา รอรับญาติโยมที่มาทำบุญอย่างไม่ขาดสาย..






















     หลังจากที่่รวบรวมปัจจัยได้จำนวนหนึ่ง พวกเราก็ได้จัดซื้อข้าวสาร อาหารแห้ง โดยเฉพาะข้าวสารซื้่อได้เกือบตัน (แต่เชื่อมั้ยว่า..เด็ก500คนกินได้ไม่ถึงสัปดาห์) เพื่อนำไปมอบถวายช่วยเหลือทางวัด

    10.00 น. เวลาที่นัดหมายก็มาถึง  ทุกคนรวมตัวกันที่หน้าโรงเรียนอีเทค เส้นทางที่จะมุ่งสู่ตัวเมืองพนัสนิคม เพื่อทะลุผ่านไปที่วัดทุ่งเหียงอันเป็นจุดหมายปลายทางของวันนี้..

 

   















       ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงวัดทุ่งเหียง ชึ่งพบว่าป้าแววกับลูกๆ รออยู่กันก่อนแล้ว พร้อมกับข้าวสารหลายกระสอบ ซึ่งป้าแววรับหน้าที่จัดหามาให้ (หากใครสนใจจะซื้อข้าวสารติดต่อผ่านป้าแกได้นะครับ)


 












  
       หลังจากขนข้าวของมารวมกันเสร็จแล้ว ก็เข้าไปกราบนมัสการพระคุณเจ้า หลวงปู่บุญ ซึ่งท่านแลดูมีเมตตากับญาติโยมที่มาทำบุญอย่างทั่วถึงทุกคน  สังเกตจากผู้คนที่ทยอยเข้ามากราบขอพร ประพรมน้ำมนต์ บ้างก็ขอเครื่องรางของขลัง ลงเลขยันต์ .อย่างไม่ขาดสาย


  
  ลูกศิษย์ฺลูกหาที่มาให้หลวงปู่ปลุกเสขลงเลขยันต์ให้







  







   ป้าแววกับลูกๆขอของดีกับหลวงพ่อ และประพรมน้ำมนต์












      ระหว่างที่รอเพื่อนๆซึ่งยังมาไม่ถึงอยู่นั้น.. เลยถือโอกาศเดินสำรวจสภาพบริเวณทั่วไปภายในวัดไปพลางๆ



โบสถ์วัดทุ่งเหียง ..ดูสีสันสวยงาม ด้วยลวดลายอันวิจิตรตระการตา













      วันนี้มีพี่ๆกลุ่มใหญ่ใจดี(จากไหนไม่ทราบ) รับเป็นเจ้าภาพถวายเพล และเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารเที่ยงให้กับน้องๆ  เลยเดินขึ้นไปเก็บภาพบรรยากาศมาฝาก  เผื่อคราวหน้าหากมีโอกาศ จะได้รับเป็นเจ้าภาพกับเขาบ้าง


   
  น้องๆนั่งทานอาหารกลางวันกันอย่างเอร็ดอร่อย..













        ประมาณห้าโมงครึ่งก่อนเพลเล็กน้อย ก็ได้เวลาถวายปัจจัย ข้าวสารและสิ่งของที่นำมาในวันนี้

จากนั้นหลวงพ่อท่านก็โยงด้ายสายสินญ์เข้ากับของที่นำมาถวาย และให้ทุกคนถือด้ายในมือ พร้อมกล่าวคำุถวายโดยพร้อมเพรียงกัน (ว่าตามหลวงปู่)













       หลังเสร็จพิธี..หลวงปู่ท่านเมตตาให้ทุกคนเข้าไปรับวัตถุมงคลจากมือของท่านเอง ซึ่งวัตถุมงคลที่ท่านสร้างนั้น นับว่ามีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของนักสะสมวัตถุมงคลอย่างแพร่หลาย


 





     








   
     เจ๊คนนี้ดูท่าทางชอบเล่นของ เฮ้อ! ไม่ใช่..ชอบเครื่องรางของขลังนะนี้..



  

      












  
      ป้าแววก็เอากะเค้าด้วยเหมือนกัน..


  















       นี่..ป้าโจ้ น่าจะลงนะหน้าท้องด้วยนะ สามีจะได้กลับบ้านตรงเวลา..



สาวๆผู้ใจบุญทั้งหลาย(สาวบ้างไม่สาวบ้าง)














       กิจกรรมการบุญในครั้งนี้ ก็ถือว่าได้เสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่น ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในบุญกุศลกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมแบ่งปัน สละทรัพย์สินเงินทองส่วนตน เพื่อช่วยเหลือน้องๆผู้ด้อยโอกาศทางสังคมและการศึกษา ทั้งยังเป็นการค้ำจุนไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาอีกด้วย..

   
       แม้ว่าสิ่งของที่พวกเราร่วมบริจาคในครั้งนี้ จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเมื่อเทียบกับความต้องการที่น้องๆ กว่า500ชีวิต ต้องใช้เพื่อการดำรงค์อยู่ในแต่ละวัน  แต่ก็หวังว่า..นี้จะเป็นก้าวแรกให้กับก้าวต่อไป ของเพื่อนๆ อีกหลายคน เพื่อต่อเติมฝันของน้องๆ ให้พวกเขาได้มีโอกาศทางสังคมอย่างที่ควรจะเป็น..


     โมทนา..สาธุ..!


**************************************************************************


ภาพบรรยากาศ การทำบุญ ณ วัดทุ่งเหียง



















































































 
 





 

         ปิดท้ายด้วยมื้อเที่ยง ที่ร้านอาหารข้างทางกลางไร่อ้อย   ออกจากวัดมาถึงถนนใหญ่แล้วเลี้ยวขวาประมาณ 200เมตร แล้วเลี้ยวซ้าย ขับตรงเข้าไปไม่ถึงสองกิโลเมตร ร้านอยู่ด้านขวามือ เมนูมีอาหารตามสั่งและเกี๋ยวเตี๋ยว รสชาดใช้ได้เลยทีเดียว... สำหรับมื้อนี้ต้องขอบคุณพี่เสก ที่เป็นเจ้ามือเลี้ยงน้องๆให้อิ่มหนำสำราษกันถ้วนหน้า เรียกว่าอิ่มจังตังค์อยู่ครบ..555

 
      แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้านะครับ...สวัสดีครับ




 .............................................................................................................
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++















  

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เงาจันทร์ในขันน้ำ

   สิ่งที่เรามองเห็น บางทีก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้เสมอไป เหมือนคนที่มองเงาจันทร์ในขันน้ำ แล้วกระโดดคว้าเอาใว้ เขาหาได้คว้าได้พระจันทร์ไม่ หากเป็นเพียงขันน้ำต่างหาก
    คนเรามักใช้สายตามากกว่าสมองคิดไตร่ตรอง แล้วก็หลงเชื่อในสิ่งที่สายตามองเห็น ปรุงแ่ต่ง นึกคิดไปเอง สุดท้ายก็ต้องเจ็บช้ำ ผิดหวัง เมื่อสิ่งที่ไขว่คว้ามาได้ หาใช่สิ่งที่นึกหวังไม่..
    ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับคนเรา ล้วนมาจากจิตที่ปรุงแต่งขึ้นจาก รูป รส กลิ่น เสี่ยง สัมผัส รูปกายที่สวยงาม รสรักที่ซาบซ่าน กลิ่นกายที่หอมหวนรัญจวนใจ เสียงใสไฟเราะเสนาะโสต ผิวกายที่นุ่มนวลชวนสัมผัส ..สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องหลอกล่อจิต ให้ปรุงแต่ง กลายเป็นความหลงใหลใฝ่ปอง ยึดมั่นถือมั่น คิดครอบครองเป็นเจ้าของ  ท้ายที่สุด..ก็พบแต่ความว่างเปล่า และความทุกข์ใจอยู่ร่ำไป..

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชีวิต ความรัก และเปลวไฟ

    ชีวิตนี้ก็ดี ความรักก็ดี เป็นความร้ายกาจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความรักเป็นสิ่งที่ทารุณ และเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักหาได้ให้ความสมหวังแก่ใครได้ถึงครึ่งหนึ่งของความต้องการไม่  ยิ่งเป็นความรักที่ฉาบทาลูบไล้ด้วยความเสน่ห์ด้วยแล้ว จะเป็นพิษแก่จิตใจ ทำให้ทุรนทุราย ดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น 


     ความสุขที่เกิดจากความรักนั้น เป็นเสมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง พระศาสนาจึงทรงได้ตรัสเตือนไว้ว่า ขอเราทั้งหลายอย่าได้พอใจในเรื่องรักเลย 

      เมื่อ หัวใจถูกลูบไล้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า และทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังจะรอเราอยู่ เพราะฉะนั้นอย่าหวังอะไรให้มากนัก จงมองดูชีวิต อย่าผู้ที่กำลังศึกษา และเรียนรู้ อย่าวิตกกังวลล่วงหน้า ชีวิตนี้ เป็นเสมือนคลื่นที่ก่อตัวขึ้นแล้วก็ม้วนตัวเข้าหาฝั่งแตกกระจายเป็นฟองฝอย จงยืนมองดูชีวิต เหมือนคนที่ยืนมองคลื่นอย่าบนฝั่งมองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทร      
     ความ รักเป็นหลุมพรางที่ดักไว้  โดยมีรูป เสียง กลิ่น สัมผัส เป็นเครื่องมือ เมื่อดักผู้ใดได้แล้ว ย่อมยำยี ห้ำหั่นเสียดแทง ให้เจ็บช้ำระกำไปจนตายในที่สุด อันธรรมดาบุคคลนั้น เมื่อแสดงบทรัก ย่อมไม่ต้องการบุคคลที่สาม แต่เมื่อเจ็บปวดจากความรักนั้น เขาจึงต้องการบุคคลที่ สาม สี่ เรื่อยไป ไม่สิ้นสุด

     ความรักความใคร่ ช่างชาญฉลาดในการหลอกล่อ ให้ไปติดเสียนี่กระไร ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงสั่งสอนให้เราแสวงหาพระธรรมเป็นที่พึ่งแห่งชีวิต ไม่ปล่อยใจให้ลุ่มหลงไปกับความงามอันยียวนอารมณ์  

     ความเกิดขึ้นแห่งกิเลสตัณหา เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์   ทุกข์มีสาเหตุมาจากกิเลส ตัณหา เป็นแดนเกิด และจะดับก็ต้องดับเหตุนั้น  

      หากต้องการให้ความร้อนดับ ต้องดับไฟซึ่งเป็นมูลเหตุนั้น ฉันใด ความทุกข์ก็ฉันนั้น..