วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชีวิต ความรัก และเปลวไฟ

    ชีวิตนี้ก็ดี ความรักก็ดี เป็นความร้ายกาจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความรักเป็นสิ่งที่ทารุณ และเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักหาได้ให้ความสมหวังแก่ใครได้ถึงครึ่งหนึ่งของความต้องการไม่  ยิ่งเป็นความรักที่ฉาบทาลูบไล้ด้วยความเสน่ห์ด้วยแล้ว จะเป็นพิษแก่จิตใจ ทำให้ทุรนทุราย ดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น 


     ความสุขที่เกิดจากความรักนั้น เป็นเสมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง พระศาสนาจึงทรงได้ตรัสเตือนไว้ว่า ขอเราทั้งหลายอย่าได้พอใจในเรื่องรักเลย 

      เมื่อ หัวใจถูกลูบไล้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า และทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังจะรอเราอยู่ เพราะฉะนั้นอย่าหวังอะไรให้มากนัก จงมองดูชีวิต อย่าผู้ที่กำลังศึกษา และเรียนรู้ อย่าวิตกกังวลล่วงหน้า ชีวิตนี้ เป็นเสมือนคลื่นที่ก่อตัวขึ้นแล้วก็ม้วนตัวเข้าหาฝั่งแตกกระจายเป็นฟองฝอย จงยืนมองดูชีวิต เหมือนคนที่ยืนมองคลื่นอย่าบนฝั่งมองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทร      
     ความ รักเป็นหลุมพรางที่ดักไว้  โดยมีรูป เสียง กลิ่น สัมผัส เป็นเครื่องมือ เมื่อดักผู้ใดได้แล้ว ย่อมยำยี ห้ำหั่นเสียดแทง ให้เจ็บช้ำระกำไปจนตายในที่สุด อันธรรมดาบุคคลนั้น เมื่อแสดงบทรัก ย่อมไม่ต้องการบุคคลที่สาม แต่เมื่อเจ็บปวดจากความรักนั้น เขาจึงต้องการบุคคลที่ สาม สี่ เรื่อยไป ไม่สิ้นสุด

     ความรักความใคร่ ช่างชาญฉลาดในการหลอกล่อ ให้ไปติดเสียนี่กระไร ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงสั่งสอนให้เราแสวงหาพระธรรมเป็นที่พึ่งแห่งชีวิต ไม่ปล่อยใจให้ลุ่มหลงไปกับความงามอันยียวนอารมณ์  

     ความเกิดขึ้นแห่งกิเลสตัณหา เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์   ทุกข์มีสาเหตุมาจากกิเลส ตัณหา เป็นแดนเกิด และจะดับก็ต้องดับเหตุนั้น  

      หากต้องการให้ความร้อนดับ ต้องดับไฟซึ่งเป็นมูลเหตุนั้น ฉันใด ความทุกข์ก็ฉันนั้น..

   


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น