วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความสุขที่ถูกมองข้าม



        
         หากเราโยนกระดูกสักชิ้นให้หมา ด้วยสัญชาตญาณสัตว์ มันจะวิ่งไปคาบกระดูกนั้นทันที  แต่ถ้าเราโยนกระดูกชิ้นใหม่เข้าไปอีก  มันจะรีบคายกระดูก ชิ้นเก่าและวิ่งไปคาบชิ้นใหม่แทน ทั้งๆที่กระดูกทั้งสองชิ้นมีขนาดและรสชาติเดียวกัน..  

      

 
 
       เมื่อหันมามองคนเรา ..ก็ไม่แตกต่างกัน  เพราะคนเรามักมีความสุขจากการได้มา มากกว่าความสุขจากการมีอยู่.. มีเท่าไรก็ยังอยากได้มาใหม่ เพราะเราคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เรามากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม ..
       
       คนส่วนมากยังเชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากเท่านั้น..  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง  คนที่เป็นผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขกว่าพนักงานระดับล่าง เพราะว่ามีเงินเดือนมากกว่า คนที่เป็นมหาเศรษฐี ก็น่าจะมีความสุขกว่าชาวนา เพราะมีบ้านหลังโตกว่า   แต่ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปไม่      
     
       จากตัวอย่างของมหาเศรษฐีหมื่นล้านบางคน ที่ไม่รู้จักคำว่าพอ  ยิ่งมีเท่าไหร่ยิ่งอยากได้เพิ่มเท่านั้น  ด้วยคิดว่าถ้ามีเยอะกว่านี้ จะมีความสุขมากกว่าเดิม เขาต้องออกแรงไล่ล่า แย่งชิงกับคู่แข่ง ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการดิ้นรนขวนขวยหาเงินทองอย่างไม่รู้จบ เมื่อมีเงินทองก็อยากได้อำนาจ เลยเอาเงินไปซื้อตำแหน่งทางการเมือง เพื่อใช้เอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง เมื่อมีคนออกมาเปิดโปงก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไม่มีแม้แผ่นดินจะอยู่ ครอบครัวแตกระส่ำระสาย ทรัพย์สินเงินทองก็ถูกยึดเอาไปเป็นของแผ่นดิน  แล้วอย่างนี้ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร .. 
      
       ลองหันกลับมามองดูตัวเราเองบ้าง ทำไมเรายังไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ รองเท้าคู่ใหม่ หรือว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ทั้งๆที่มีอยู่เดิมก็ยังใช้งานได้   บางคนเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่มีอยู่มากมาย ยังใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำไป แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน นั่นเพราะเราคิดว่า สิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่  หลงคิดกันว่า ของใหม่จะให้ความสุขมากกว่าของที่มีอยู่เดิม  ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงทุกอย่างก็คงจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือ ไม่นานเมื่อของใหม่กลายเป็นของเก่า ความสุขที่เคยชื่นชมก็ค่อยๆจางหายไป ผลก็คือ กลับรู้สึกเฉยๆเหมือนเดิม สุดท้ายก็ต้องออกไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อจะได้มีความสุขกว่าเดิม วนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป แล้วเมื่อไรชีวิตจะมีความสุขเสียที..


         บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับทุกคน ในทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้อง     ไปเที่ยววิ่งแสวงหาจากที่ไหนให้เหนื่อยเปล่า  เพียงแต่เรามองข้ามไป หรือไม่รู้จักเท่านั้น   ลองหันมองสิ่งที่เรามีอยู่ และเป็นอยู่  ไม่ว่ามิตรภาพ   ครอบครัว สุขภาพ รวมทั้งจิตใจของเราเอง
      
       จงมีความสุขจากการปล่อยวาง  จากสิ่งที่เรามี และเราเป็น  และขั้น ต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้  มีความสุขจากการได้เห็นคราบ    น้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม มีความสุขกับการได้ทำความดี  ซึ่งจากจุดนี้เองที่จะทำให้ชีวิตเรามีคุณค่าและความหมาย  

    
         
           ชีวิตเกิดมาทั้งที ควรได้มีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้และการมี เพราะนั่นคือความสุขที่สงบร่มเย็น และยั่งยืนอย่างแท้จริง..

                                                                                                                                                                                                                              นะโมพุทธายะ

2 ความคิดเห็น:

  1. ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับ"เงิน" จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจต่างหาก :)

    ตอบลบ
  2. ใช่แล้วครับ โคลนเกิดจากน้ำ ทุกข์เกิดจากใจ เอาน้ำล้างโคลนฉันใด ก็เอาใจล้างทุกข์ฉันนั้นแล..

    ตอบลบ